บทที่2 Ticker Tape Timer
‘นี่มันอะไรกัน?’ วิทยาถามตัวเองเป็นรอบที่ร้อยได้แล้วขณะพลิกเครื่องเคาะสัญญาณเจ้าปัญหาอยู่ไปมา คิ้วเข้มขมวดมุ่นอย่างครุ่นคิด
เครื่องเคาะสัญญาณเวลา (Ticker Tape Timer) เป็นเครื่องมือที่เหมาะที่ใช้วัดอัตราเร็วของวัตถุที่เคลื่อนที่ในเวลาสั้น ๆเครื่องเคาะสัญญาณเวลาทำงาน แผ่นเหล็กสปริงจะสั่นทำให้เหล็กที่ติดปลายเคาะลงไปบนแป้นไม้ที่รองรับเป็นจังหวะด้วยความถี่ของไฟฟ้ากระแสสลับที่ใช้เคาะ คือ 50 ครั้งใน 1 วินาที ดังนั้น ช่วงเวลาระหว่างการเคาะครั้งหนึ่งกับครั้งถัดไปมีค่าเท่ากับ 1/50 วินาที ช่วงเวลานี้จะคงที่เพราะความถี่ของไฟฟ้าที่ใช้ค่าคงที่ ช่วงเวลานี้บางครั้งเรียกว่า เวลา 1ช่วงจุด
นั่นคือสิ่งที่เขาเรียนมา แต่...คุณสมบัติของมัน มีแค่เท่าที่เรียนมาเท่านั้นหรือ?
นายภูมิอยู่ในห้องพยาบาล กำลังทำแผลอยู่ หลังจากที่ชี้แจงกับครูพยาบาลซึ่งทำหน้างุนงงอย่างยิ่งกับสาเหตุการบาดเจ็บ(“โดนตู้ล้มทับเนี่ยนะ”) ก็นะ..ร้อยวันพันปีตู้ไม้ผุๆนั่นมันก็อยู่มาได้ ดันมาล้มเอาตอนที่เขาเข้าไปพอดี เฮ้อ.. แล้วนี่พวกเขาจะโดนข้อหาทำลายทรัพย์สินโรงเรียนไหมหนอ
ระหว่างที่เพื่อนทำแผล วิทยาก็หยิบเอาเจ้าเครื่องนั่นออกมาดูไปพลางๆ เพราะความสะกิดใจบางอย่างมันเตือนเขาตั้งแต่แรกเห็นว่า มันไม่ใช่เครื่องเคาะสัญญาณเวลาธรรมดาๆ
แต่มันจะเป็นอะไรไปได้ล่ะ?
ขณะที่กำลังครุ่นคิดหนักอยู่ นายอิศเรนทร์ เจนสมร เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดอีกคนก็โผล่เข้ามาพอดี
“เฮ้ย! ได้ข่าวว่าไอ้ภูมิมันโดนตู้ล้มทับ มันเป็นไรมากรึเปล่าวะ” โผล่หน้ามาปุ๊บมันก็ยิงคำถามปั๊บ
วิทยาเหลือบมองหน้าเพื่อนนิดหนึ่งแล้วหันกลับไปพิเคราะห์เครื่องเคาะสัญญาณเวลาต่อ ปากก็ตอบ “ก็ไม่เห็นมันเป็นไรมาก แค่หัวแตกนิดหน่อย โน่น ตอนนี้อยู่ในห้องพยาบาล กำลังทำแผลอยู่แน่ะ”
“แล้วไปทำอีท่าไหนวะ ตู้ล้มทับ มันอยู่ของมันมาดีๆกี่ทศวรรษไม่เคยเห็นล้ม” นี่ไม่ใช่คำถาม วิทยาที่กำลังใช้ความคิดหนักอยู่จึงไม่ได้พูดอะไร
“อะไรวะเนี่ย ของเล่นเรอะ” อิศเรนทร์ทรุดตัวลงนั่งข้างๆพลางมองของในมือเพื่อนอย่างสนใจ
“เปล่า มันคือเครื่องเคาะสัญญาณเวละ.. เฮ้ย!เอามานี่นะโว้ยไอ้อิศร์” ประโยคหลังนายแว่นโวยอย่างหงุดหงิดขณะที่พยายามแย่งเครื่องหน้าตาประหลาดนั่นกลับมาจากอีกฝ่ายที่อยู่ๆก็อาศัยความไวปานวอกคว้าไปจากมือเสียเฉยๆ
อิศเรนทร์ไม่ใส่ใจกับเสียงโวยวายของเพื่อน เบี่ยงตัวหลบไม่ให้ฝ่ายนั้นคว้าของได้ หมุนดูกับแสงแดดยามบ่าย
“เข้าท่านี่หว่า” เด็กชายว่าอย่างพอใจ “เฮ้.. นี่มันอะไรล่ะเนี่ย”
“ไหน” วิทยาชะงัก ถามอย่างสนใจ
“นี่ไง ข้างใต้เนี่ย” คนตาดีชี้ให้ดูบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายกับเป็นตัวอักษรโบราณหน้าตาประหลาดที่เหมือนถูกสลักติดไว้กับใต้ฐานเครื่อง ซึ่งวิทยาไม่ทันสังเกตเห็นแต่ทีแรก
“ภาษาบ้าอะไรวะ รึใครมาเขียนอะไรเล่นไว้” อิศเรนทร์พูดขำๆ แต่คนเรียนเกรด4 จ้องเขม็ง
“ไหน เอามาดูซิ” ว่าพลางแบมือเป็นทำนองขอ
ชะรอยจะสัมผัสได้ถึงความเคร่งเครียดเป็นการเป็นงานในน้ำเสียงเพื่อน อิศเรนทร์ยอมคืนให้แต่โดยดี ทว่าไม่วายถาม
“ไปได้มาจากไหนล่ะ”
คนถูกถามตีหน้ายุ่ง ..ก็จะบอกตามตรงดีเร้อว่าไอ้นี่แหละที่เขาเองเป็นคนทำหล่นใส่หัวไอ้ภูมิจอมถึกจนหัวแตกได้เลือดน่ะ
“จาก..โกดังเก็บอุปกรณ์กีฬา” ตอบสั้นๆเลี่ยงไปเสียท่าจะดีกว่า
“โกดังเก็บอุปกรณ์?” อิศเรนทร์ทวนคำเสียงสูง ออกฉงนกับคำตอบ
“ทำไมมันไปอยู่ที่นั่นได้ล่ะ ของแบบนี้น่าจะอยู่ในห้องวิทย์นี่นา”
“ไม่รู้เหมือนกันโว้ย แต่มันหล่นใส่หัวฉันแตกได้ก็แล้วกัน”
เสียงนายภูมิทะลุกลางปล้องขึ้นมา ทั้งสองหันไปมองก็เห็นเจ้าคนเจ็บมีผ้ากอซสีขาวสะอาดของห้องพยาบาลแปะอยู่บนหน้าผากชิดตีนผม ดวงตาสีดำสนิทมองเครื่องเคาะสัญญาณเวลาที่อยู่ในมือวิทยาอย่างไม่สบอารมณ์
“นายจะเก็บไปทำไมวะ วิท น่าจะโยนทิ้งไปเสียตั้งแต่แรก”
“ฉันจะเอาไปคืนห้องวิทย์” นายแว่นตอบ
“เดี๋ยว.. เดี๋ยวก่อนนะ...” อิศเรนทร์โบกมือให้เพื่อนหันมาสนใจเขา
“ตะกี้นายบอกว่า.. ไอ้เครื่องเคาะสัญญาณบ้าบออะไรนั่นทำหัวนายแตกงั้นเรอะ”
“ก็เออสิวะ นายคิดว่าหัวฉันอยู่ๆจะแตกได้เองมั้ยเล่า” นายภูมิว่าอย่างฉุนๆ
“ก็ไอ้วิทน่ะซิ ทำตู้ล้มทับฉัน แล้วไอ้เครื่องบ้านี่ก็หล่นลงมาจากตู้ โครมลงมากลางหัวพอดีหยั่งกับกะไว้”
อิศเรนทร์เงียบ มองหน้าคนทั้งสองสลับไปมาอยู่กึ่งอึดใจ ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างขบขัน
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆ วิท นายแน่มากว่ะ” นี่คือคำวิจารณ์จากเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดอย่างมัน แล้วหัวเราะต่อ แต่ไม่ลืมเงยขึ้นมองหน้าเหี้ยมๆอย่างพร้อมจะฆ่าคนของนายภูมิ
“ส่วนภูมิ นายซ.ว.ย.เอง ช่วยบ่ได้”
ว่าแล้ว อิศเรนทร์ก็เบี่ยงตัวหลบมือของคนที่กำลังจะเอื้อมมากระชากคอเสื้อไปตะบันหน้าให้สมกับความรักเพื่อน เผ่นหลบไปคุมเชิงอยู่ห่างๆ ยังไม่วายหัวเราะร่วนอยู่เช่นนั้น
ภูมิ กระพันชาตรี ถลกแขนเสื้อขึ้น แล้วปรี่ดิ่งตรงเข้าไปทางเจ้าคนที่มีอารมณ์ขันผิดที่ผิดเวลา มวยคู่เอกเกือบจะได้เริ่ม ถ้าไม่ใช่เพราะครูพยาบาลเดินออกมาเสียก่อน
“อ้าว ยังทำอะไรอยู่ตรงนี้อีกล่ะนักเรียน ได้เวลากลับบ้านแล้วไม่ใช่เหรอ ไปๆๆ กลับกันได้แล้ว”
วันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2551
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น