วันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2551

บทที่3 หมอกจางๆจากด้านหลัง

บทที่3 หมอกจางๆจากด้านหลัง

พักทานอาหารที่แสนจะวุ่นวายโรงเรียนแห่งนี้ ไม่น่าเชื่อว่าแถวจะยาวได้ขนาดนี้ ทำให้นายภูมิ วิทยา และอิศเรนทร์ ต้องทนเข้าแถวต่อไป แม้ไม่อยากก็ตาม
“ทำไมมันยาวอย่างงี้เนี่ย” คนขี้หงุดหงิดพูดอย่างอารมณ์เสียสุดๆเมื่อเห็นแถวยาวเหยียด
“ภูมิแกอย่าบ่นได้ไหม มันช่วยไม่ได้นี่หว่า คนมันเยอะ แถวก็ต้องยาวเป็นธรรมดา” นายแว่นคนที่ขยันอธิบายตอบให้คนฟังเคืองหูเล่น
“เอาน่าพวกนายน่ะ เงียบบ้างก็ดีนะ เงียบเหมือนฉันไง” อิศเรนทร์คนสุดแสนจะขี้เล่น (?) พูดขึ้นมาทำให้ทั้งสองคนหันขวับมาด่า
“แกน่ะแหละเงียบไปเลย” ทั้งสองประสานเสียงกันอย่างเหลือเชื่อ
ผ่านไปนานแสนนานกับการทานข้าว พวกเขาก็ได้ไปหมกตัวอยู่ในห้องสมุด เพื่อทำรายงานสังคมของยัยอาจารย์จู้จี้ ขี้บ่น จอมบ้ายอ แถมให้การบ้านเยอะคนนั้น
“เฮ้ย ทำเรื่องไรนะ...วิทแกอย่ามัวแต่ยุ่งกับเครื่องบ้าๆนั่นได้ไหม” ภูมิพูดด่าอย่างลืมว่าอยู่ในห้องสมุด ใส่นายแว่นที่เอาแต่จ้องเครื่องนั้นราวกับเป็นของเล่นชิ้นใหม่เลยโดนบรรณารักษ์หันมามองหน้าแนวว่า เงียบไปเลยเอ็ง
“เอาน่า เงียบๆหน่อยเดี๋ยวก็โดนไล่ออกไปอีกหรอก” อิศเรนทร์ พูดกระซิบอย่างล้อเลียน จนคนขี้หงุดหงิดยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่แต่ก็ต้องอดทนไว้ไม่งั้นโดนเด้งออกจากห้องสมุดเป็นแน่แท้
“เออๆก็ได้ วิทนายดูไอ้เครื่องบ้านั่นเสร็จแล้ว มาช่วยกันทำบ้างนะเฟ้ย” ภูมิพูดเบาๆอย่างกลัวโดนบรรณารักษ์เด้งออกจากห้องสมุดอย่างเสียไม่ได้
วิทยา ชัยชนะกุล มองเครื่องประหลาดด้วยแววตาเหมือนเด็กๆที่ได้ของเล่นชิ้นใหม่ ลวดลายประหลาดใต้ฐานเครื่อง ที่แสนจะคุ้นตาเหมือนกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อนแต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก จึงจำใจต้องวางของที่เขาคิดว่าเป็นเครื่องเคาะสัญญาณเวลาลง
“นี่ๆ” ภูมิสะกิดเรียกวิทยาเบา “อักษรอะไรนะที่อียิปต์ใช้อ่ะ อะไรนะ...ที่อาจารย์จู้จี้บอกว่าเป็นอักษรแรกของโลกอ่ะ”
“ไม่เห็นยากเลยก็...” วิทยาตกใจเบิกตาโพลงเหมือนนึกอะไรได้ “ใช่แล้ว!!!”
“ชู่วววววววว!!!!” อิศเรนทร์ทำท่าเตือนเพื่อนให้เงียบแต่ตอนนี้วิทยาไม่สนใจแล้ว
“พวกนายฉันกลับบ้านก่อนนะ” วิทยารีบร้อนจะเก็บหนังสือกลับบ้านทั้งๆที่ตอนนี้พึ่งจะเที่ยงเอง วิชาตอนภาคบ่ายก็ยังไม่ได้เรียน
“นี้นายจะโดดเรียนหรอ ไม่น่าเชื่อ!!!” อิศเรนทร์เอามือกุมหัวท่าทางส่ายไปส่ายมาอย่างล้อเลียน ภูมิเองเห็นท่าทางวิทยาจะรีบเดินออกจากห้องสมุดก็รีบคว้าแขนไว้
“วิท นายจะโดดเรียนก็ไม่มีใครว่าหรอกนะ แต่นายลืมไปรึเปล่า ตอนบ่ายมีเรียนภาษาไทยกับ อาจารย์ลักขณา” พอภูมิพูดจบวิทยาได้แต่อึ้งพูดไม่ออกทำหน้าเหมือนนึกได้ก่อนจะเดินกลับมานั่งที่ตามเดิม
“โอ้โห! ภูมินายพูดอะไรจริงจังกับเขาเป็นด้วยแหะ ไม่น่าเชื่ออย่างงี้ได้ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์แน่เลย ‘นายภูมิ กระพันชาตรี นักบาสฯไร้ชื่อ พูดอะไรจริงจังกับเพื่อนซี้’” คนพูดเสียงดังลืมดูว่าตัวเองอยู่ในห้องสมุดทำให้นายภูมิเตรียมตัวเข้าไปต่อยนายอิศเรนทร์ พูดอะไรไม่เข้าหู
“แก...” ภูมิเงื้อหมัดขึ้นเตรียมตัวต่อยไอ้คนพูดมากเต็มที่
“พวกเธอ ออกไปจากห้องสมุดเดี๋ยวนี้นะ!!” บรรณารักษ์ตะโกนมาอย่างเหลืออดทำให้พวกเขาจำใจออกจากห้องสมุดไป
“เดี๋ยวเรียนภาษาไทยแล้วเรียนอะไรต่อ” วิทยาพูดขึ้น ขณะเดินกลับห้องเรียน
“ก็มีเรียนศิลปะ” ภูมิช่วยตอบให้หลังจากซัดอิศเรนทร์ซะหมัดหนึ่ง
“โอเค” วิทยาพูดไว้แค่นี้ปล่อยให้ไอ้สองคนที่เหลือไม่เข้าใจในความหมาย
เมื่อพวกเขามาถึง ณ ห้องเรียนก็ทุกคนในห้องยังคงเฮฮาปาร์ตี้กันเช่นเคย เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ทั้ง 3 เดินไปนั่งที่รอเวลาเรียน
“ลักขณามาแล้ว!!!” เพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งรีบวิ่งมาอย่างรวดเร็วจนลืมคำนำหน้าชื่อของอาจารย์ซะนี้
ทั้งห้องเมื่อได้ฟังก็ตาลีตาเหลือกวิ่งเข้านั่งที่ เมื่ออาจารย์สาวเดินเยื้องย่างเข้ามา ทั้งห้องราวกับถูกน้ำแข็งเกาะไปตามทางที่อาจารย์เดิน ทั้งห้องเงียบเชียบอย่างสงบเสงี่ยม ทำให้เพื่อนข้างห้องต่างรู้ว่าอาจารย์สาวสุดโหดเดินเข้ามาแล้ว
“นักเรียน กราบ” หัวหน้าห้องบอกเสียงดังฟังชัด ทั้งห้องทำตามอย่างไม่มีขัดขืน
“วันนี้มีคนสายด้วยหรอ” อาจารย์สาวกวาดสายตามองไปที่นั่งที่ว่างเปล่าอย่างสงสัย ก่อนที่นักเรียนชะตาขาดกลุ่มหนึ่งจะมาถึง พร้อมกับลมหายใจที่หอบแฮ่กๆ
อาจารย์สาวโปรยยิ้มให้อย่างเย็นชาก่อนจะพูดชัดถ้อยชัดคำ “หัวหน้าห้องไปปิดประตูซิ”
หัวหน้าห้องทำตามอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทำให้ชั่วโมงมหาสนุกเริ่มขึ้นแล้ว...
ออด...
มันเป็นเสียงสุดสวรรค์ของชั่วโมงนี้ ทุกคนเริ่มทยอยออกจากห้องไปเรียนศิลปะชั่วโมงสุดท้ายของวัน เพียงแต่ชั้นเรียนนั้นขาดไปคนหนึ่ง
“วิทยามันไปไหน” ภูมิถามอิศเรนทร์อย่างสงสัยหลังจากเริ่มเรียนได้ไม่นาน
“เห็นมันแบกกระเป๋ากลับบ้านไปแล้ว ไม่น่าเชื่อคนอย่างไอ้วิทโดดเรียนเป็นด้วย”
คฤหาสน์หลังใหญ่ บ้านของวิทยา หลังจากที่วิทยากลับมาแล้ว ตรงรี่ขึ้นไปบนห้องนอนของเขา เปิดตำราพยายามหาสิ่งที่เขาต้องการอยู่นาน ก่อนจะพูดอะไรพึมพำออกมาเบาหลังจากได้รับคำตอบนั้น ควันสีขาวลอยขึ้นมาหลังหนุ่มผมดำ ก่อนที่สติจะดับวูบไป...

วันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2551

บทที่2 Ticker Tape Timer

บทที่2 Ticker Tape Timer

‘นี่มันอะไรกัน?’ วิทยาถามตัวเองเป็นรอบที่ร้อยได้แล้วขณะพลิกเครื่องเคาะสัญญาณเจ้าปัญหาอยู่ไปมา คิ้วเข้มขมวดมุ่นอย่างครุ่นคิด
เครื่องเคาะสัญญาณเวลา (Ticker Tape Timer) เป็นเครื่องมือที่เหมาะที่ใช้วัดอัตราเร็วของวัตถุที่เคลื่อนที่ในเวลาสั้น ๆเครื่องเคาะสัญญาณเวลาทำงาน แผ่นเหล็กสปริงจะสั่นทำให้เหล็กที่ติดปลายเคาะลงไปบนแป้นไม้ที่รองรับเป็นจังหวะด้วยความถี่ของไฟฟ้ากระแสสลับที่ใช้เคาะ คือ 50 ครั้งใน 1 วินาที ดังนั้น ช่วงเวลาระหว่างการเคาะครั้งหนึ่งกับครั้งถัดไปมีค่าเท่ากับ 1/50 วินาที ช่วงเวลานี้จะคงที่เพราะความถี่ของไฟฟ้าที่ใช้ค่าคงที่ ช่วงเวลานี้บางครั้งเรียกว่า เวลา 1ช่วงจุด
นั่นคือสิ่งที่เขาเรียนมา แต่...คุณสมบัติของมัน มีแค่เท่าที่เรียนมาเท่านั้นหรือ?
นายภูมิอยู่ในห้องพยาบาล กำลังทำแผลอยู่ หลังจากที่ชี้แจงกับครูพยาบาลซึ่งทำหน้างุนงงอย่างยิ่งกับสาเหตุการบาดเจ็บ(“โดนตู้ล้มทับเนี่ยนะ”) ก็นะ..ร้อยวันพันปีตู้ไม้ผุๆนั่นมันก็อยู่มาได้ ดันมาล้มเอาตอนที่เขาเข้าไปพอดี เฮ้อ.. แล้วนี่พวกเขาจะโดนข้อหาทำลายทรัพย์สินโรงเรียนไหมหนอ
ระหว่างที่เพื่อนทำแผล วิทยาก็หยิบเอาเจ้าเครื่องนั่นออกมาดูไปพลางๆ เพราะความสะกิดใจบางอย่างมันเตือนเขาตั้งแต่แรกเห็นว่า มันไม่ใช่เครื่องเคาะสัญญาณเวลาธรรมดาๆ
แต่มันจะเป็นอะไรไปได้ล่ะ?
ขณะที่กำลังครุ่นคิดหนักอยู่ นายอิศเรนทร์ เจนสมร เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดอีกคนก็โผล่เข้ามาพอดี
“เฮ้ย! ได้ข่าวว่าไอ้ภูมิมันโดนตู้ล้มทับ มันเป็นไรมากรึเปล่าวะ” โผล่หน้ามาปุ๊บมันก็ยิงคำถามปั๊บ
วิทยาเหลือบมองหน้าเพื่อนนิดหนึ่งแล้วหันกลับไปพิเคราะห์เครื่องเคาะสัญญาณเวลาต่อ ปากก็ตอบ “ก็ไม่เห็นมันเป็นไรมาก แค่หัวแตกนิดหน่อย โน่น ตอนนี้อยู่ในห้องพยาบาล กำลังทำแผลอยู่แน่ะ”
“แล้วไปทำอีท่าไหนวะ ตู้ล้มทับ มันอยู่ของมันมาดีๆกี่ทศวรรษไม่เคยเห็นล้ม” นี่ไม่ใช่คำถาม วิทยาที่กำลังใช้ความคิดหนักอยู่จึงไม่ได้พูดอะไร
“อะไรวะเนี่ย ของเล่นเรอะ” อิศเรนทร์ทรุดตัวลงนั่งข้างๆพลางมองของในมือเพื่อนอย่างสนใจ
“เปล่า มันคือเครื่องเคาะสัญญาณเวละ.. เฮ้ย!เอามานี่นะโว้ยไอ้อิศร์” ประโยคหลังนายแว่นโวยอย่างหงุดหงิดขณะที่พยายามแย่งเครื่องหน้าตาประหลาดนั่นกลับมาจากอีกฝ่ายที่อยู่ๆก็อาศัยความไวปานวอกคว้าไปจากมือเสียเฉยๆ
อิศเรนทร์ไม่ใส่ใจกับเสียงโวยวายของเพื่อน เบี่ยงตัวหลบไม่ให้ฝ่ายนั้นคว้าของได้ หมุนดูกับแสงแดดยามบ่าย
“เข้าท่านี่หว่า” เด็กชายว่าอย่างพอใจ “เฮ้.. นี่มันอะไรล่ะเนี่ย”
“ไหน” วิทยาชะงัก ถามอย่างสนใจ
“นี่ไง ข้างใต้เนี่ย” คนตาดีชี้ให้ดูบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายกับเป็นตัวอักษรโบราณหน้าตาประหลาดที่เหมือนถูกสลักติดไว้กับใต้ฐานเครื่อง ซึ่งวิทยาไม่ทันสังเกตเห็นแต่ทีแรก
“ภาษาบ้าอะไรวะ รึใครมาเขียนอะไรเล่นไว้” อิศเรนทร์พูดขำๆ แต่คนเรียนเกรด4 จ้องเขม็ง
“ไหน เอามาดูซิ” ว่าพลางแบมือเป็นทำนองขอ
ชะรอยจะสัมผัสได้ถึงความเคร่งเครียดเป็นการเป็นงานในน้ำเสียงเพื่อน อิศเรนทร์ยอมคืนให้แต่โดยดี ทว่าไม่วายถาม
“ไปได้มาจากไหนล่ะ”
คนถูกถามตีหน้ายุ่ง ..ก็จะบอกตามตรงดีเร้อว่าไอ้นี่แหละที่เขาเองเป็นคนทำหล่นใส่หัวไอ้ภูมิจอมถึกจนหัวแตกได้เลือดน่ะ
“จาก..โกดังเก็บอุปกรณ์กีฬา” ตอบสั้นๆเลี่ยงไปเสียท่าจะดีกว่า
“โกดังเก็บอุปกรณ์?” อิศเรนทร์ทวนคำเสียงสูง ออกฉงนกับคำตอบ
“ทำไมมันไปอยู่ที่นั่นได้ล่ะ ของแบบนี้น่าจะอยู่ในห้องวิทย์นี่นา”
“ไม่รู้เหมือนกันโว้ย แต่มันหล่นใส่หัวฉันแตกได้ก็แล้วกัน”
เสียงนายภูมิทะลุกลางปล้องขึ้นมา ทั้งสองหันไปมองก็เห็นเจ้าคนเจ็บมีผ้ากอซสีขาวสะอาดของห้องพยาบาลแปะอยู่บนหน้าผากชิดตีนผม ดวงตาสีดำสนิทมองเครื่องเคาะสัญญาณเวลาที่อยู่ในมือวิทยาอย่างไม่สบอารมณ์
“นายจะเก็บไปทำไมวะ วิท น่าจะโยนทิ้งไปเสียตั้งแต่แรก”
“ฉันจะเอาไปคืนห้องวิทย์” นายแว่นตอบ
“เดี๋ยว.. เดี๋ยวก่อนนะ...” อิศเรนทร์โบกมือให้เพื่อนหันมาสนใจเขา
“ตะกี้นายบอกว่า.. ไอ้เครื่องเคาะสัญญาณบ้าบออะไรนั่นทำหัวนายแตกงั้นเรอะ”
“ก็เออสิวะ นายคิดว่าหัวฉันอยู่ๆจะแตกได้เองมั้ยเล่า” นายภูมิว่าอย่างฉุนๆ
“ก็ไอ้วิทน่ะซิ ทำตู้ล้มทับฉัน แล้วไอ้เครื่องบ้านี่ก็หล่นลงมาจากตู้ โครมลงมากลางหัวพอดีหยั่งกับกะไว้”
อิศเรนทร์เงียบ มองหน้าคนทั้งสองสลับไปมาอยู่กึ่งอึดใจ ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างขบขัน
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆ วิท นายแน่มากว่ะ” นี่คือคำวิจารณ์จากเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดอย่างมัน แล้วหัวเราะต่อ แต่ไม่ลืมเงยขึ้นมองหน้าเหี้ยมๆอย่างพร้อมจะฆ่าคนของนายภูมิ
“ส่วนภูมิ นายซ.ว.ย.เอง ช่วยบ่ได้”
ว่าแล้ว อิศเรนทร์ก็เบี่ยงตัวหลบมือของคนที่กำลังจะเอื้อมมากระชากคอเสื้อไปตะบันหน้าให้สมกับความรักเพื่อน เผ่นหลบไปคุมเชิงอยู่ห่างๆ ยังไม่วายหัวเราะร่วนอยู่เช่นนั้น
ภูมิ กระพันชาตรี ถลกแขนเสื้อขึ้น แล้วปรี่ดิ่งตรงเข้าไปทางเจ้าคนที่มีอารมณ์ขันผิดที่ผิดเวลา มวยคู่เอกเกือบจะได้เริ่ม ถ้าไม่ใช่เพราะครูพยาบาลเดินออกมาเสียก่อน
“อ้าว ยังทำอะไรอยู่ตรงนี้อีกล่ะนักเรียน ได้เวลากลับบ้านแล้วไม่ใช่เหรอ ไปๆๆ กลับกันได้แล้ว”

บทที่1 จุดเริ่มต้นจากการโดนตู้ล้มทับ

บทที่1 จุดเริ่มต้นจากการโดนตู้ล้มทับ

“สวัสดีครับ ผมชื่อภูมิ กระพันชาตรีครับ เกรดการเรียนของผมก็คือ วิทย์3.5 เลข3.5 ภาษาอังกฤษ2.5 ภาษาไทย2 ครับ นี่คือเกรดของผมตอนม.2 นะครับ ส่วนนี่เพื่อนผม วิทยา ชัยชนะกุล เกรดเฉลี่ย4.00ครับ วันนี้เราจะนำเสนอเรื่อง...” เสียงนายภูมิ กระพันชาตรี เด็กหนุ่มวัย15 หน้าตาดี เพียงแต่ดีสู้คนข้างๆไม่ได้เท่านั้นเอง
นายวิทยา ชัยชนะกุล เป็นเด็กหนุ่มวัย15 หน้าตาดีจนถือว่าหล่อ นายนี่เป็นเด็กแว่นที่มีแฟนคลับทั้งรุ่นน้องรุ่นพี่มากที่สุดในรุ่นเดียวกัน ด้วยนิสัยรักเรียน แต่ก็มีข้อเสียคือทะเลาะกับนายภูมิเสียจนเสียภาพพจน์อยู่เรื่อย ในสายตาของเด็กหญิงบางคนเห็นอย่างนั้น ทำให้นายภูมิถูกเกลียดจากเหล่าเด็กหญิงพวกนั้น
“ประเทศอียิปต์ เอ่อ...” นายภูมิซึ่งเรียนไม่ค่อยเก่ง ความจำก็ไม่ดีจนทำให้ลืมคำพูดที่ต้องมารายงานหน้าห้องอยู่เรื่อย
“เอามานี่ ฉันรายงานเอง” วิทยาแย่งไมค์ออกมาจากมือของคนข้างๆก่อนจะเริ่มพูดต่อไปโดยไม่สนว่าคนข้างๆจะฉุนเพียงใด
“ขอจบการรายงานเพียงเท่านี้ครับ” เสียงปรบมือตามมารยาทของผู้ฟังที่ดีก็ดังขึ้นแม้ว่าเรื่องที่รายงานจะน่าเบื่อซักเพียงไร
“ดีมาก ครูไม่เคยฟังรายงานไหนดีเท่านี้เลย” คุณครูสาวกระดี๊กระด๊าเหมือนปลากระดี่ได้น้ำ พูดชมไม่ขาดปากก่อนบรรจงเขียนคำว่า Very Good ลงบนรายงานรวมเล่ม
“เอาเข้าไป แม้แต่ครูยังเป็นไปกับเค้า” นายภูมิพึมพำเบาๆ แต่ไม่รอดพ้นคนหูดี
“บ่นอยู่ได้ ตามวิทยาเขาไปนั่งที่ไป” ครูสาวพูดทั้งๆที่เมื่อกี้ยังชม ‘พวกเขา’ อยู่เลย ตอนนี้ภูมิชักเข้าใจมาตะหงิดๆแล้วว่า คนที่ครูชมมันคือเจ้าวิทยาคนเดียว...เซ็ง
ออด...
เสียงออดดังขึ้นเหมือนเสียงกระดิ่งสวรรค์ พอบอกลาครูสาวสุดกวนอวัยวะที่อยู่ล่างสุดแล้ว นายภูมิก็ตรงรี่จะลงไปเรียนพละ
“จะรีบไปไหน ค่อยๆไปก็ได้นี่” วิทยาพูดเอือมๆขณะหยิบของเก็บลงใต้โต๊ะอย่างเป็นระเบียบ
“เร็วหน่อยซิ ฉันอยากเรียนพละนะ” นายภูมิพูดกลับ ก็ช่วยไม่ได้คนมันอยากเรียนนี่
“เออ ฉันรู้ แกเก่งพละนี่หว่า”
“หึ” นายภูมิหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะพูดว่า “เห็นอย่างนี้แล้ว ฉันได้4วิชานี้นะเฟ้ย”
คำพูดของนายภูมิสร้างเสียงคิกคักจากเหล่านักเรียนหญิงที่แอบฟังพวกเขาอยู่
“เออลืมไป แกก็4เหมือนกันนี่หว่า” คนพูดอะไรไม่คิดยืนเกาหัวตัวเองดังแกรกๆ... ใช่สิ ไอ้วิทมันเก่งไปหมดนี่หว่า แต่ปีที่แล้วหาคนได้เกรดพละน้อยกว่า4ไม่ได้เลยนะ เค้าน่ะเก่งบาสฯเฟ้ย ต่อให้4.00ก็เถอะต้องมีอะไรซักอย่างที่มันไม่ได้เรื่องบ้าง

“สวัสดี นักเรียนทุกคน วันนี้เราจะเรียนกีฬาที่ชื่อบาสเกตบอลกันนะ กีฬานี้คงไม่ต้องอธิบายอะไรมากมาย เพราะทุกคนคงรู้จักกันดีอยู่แล้ว แต่ก็คงต้องบอกอยู่ดีน่ะแหละ...”
น่าเบื่อ... ในความคิดของทุกคนไม่เว้นแม้แต่นายภูมิ
“เอ้า นักเรียนไปหยิบลูกบาสในโกดังมาซิ” ครูพละจอมพูดยืดยาวชี้นิ้วสั่งนายภูมิกับวิทยาให้ไปเอาลูกบาสให้เพื่อนๆหน่อย แม้ไม่อยากไปแต่ก็ต้องไป
ณ โกดังเก็บอุปกรณ์กีฬาที่แสนเก่าและสกปรก
“ลูกบาสอยู่ไหนเนี่ย” วิทยา ชัยชนะกุล หนุ่มหล่อสุดเพอร์เฟ็กต์ก็ยังทนต่อภาวะความสกปรกของโกดังเก็บของไม่ได้
“แกไปหาทางนั้นสิ” ภูมิรีบๆสั่งนายวิทยาให้ช่วยไปหาทางที่นิ้วของเขาชี้ไป
“อยู่ไหนเนี่ย” วิทยาเดินต่อซักสองสามก้าวก่อนจะสะดุดไม้กอล์ฟจนเซล้มไปชนกับตู้เก็บของ ก่อนที่ตู้เก็บของจะเปิดอ้าพ่นลูกบาสจำนวนมากออกมา ส่วนตัวตู้ก็ล้มไปชนกับตู้ต่อไป นายภูมิเห็นแล้วรู้สึกเหมือนเคยเล่น ก่อนจะรู้สึกตัวว่าตู้ที่ถูกดันลงมาจ๊ะเอ๋กับเขาพอดี
โครม!!
“เฮ้ย! ภูมิ” ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนว่ามันจะตายอนาถจากการถูกตู้ล้มทับด้วยฝีมือของเขาเอง จึงรีบวิ่งไปหาคนที่อยู่ใต้ตู้ไม้เก่าๆ
“แกยังไม่ตายใช่มั้ย” วิทยาไม่พูดเปล่า พยายามเอามือแหวกตู้ไม้ที่แตกกระจายไม่มีชิ้นดี
“ยัง” นายภูมิโผล่ขึ้นมาจากซากไม้ หน้าผากโชกเลือด ความจริงแค่ตู้ไม้เขารับได้สบายๆถ้าไม่มีอะไรหล่นตุบใส่หัวเขาจนแตกซะก่อน
“บ้าจริง นั่นมันตกใส่หัวฉัน” ภูมิพูดพลางเอามือกุมหน้าผากโชกเลือดก่อนที่มืออีกข้างหนึ่งจะชี้ไปที่กล่องกระดาษ
วิทยาเดินไปเก็บกล่องขึ้นมาพินิจจนถี่ถ้วน พลิกซ้ายพลิกขวาสำรวจว่าของสิ่งนี้น่ะเหรอที่ทำให้นายภูมิจอมถึกหัวแตกได้ ที่หน้ากล่องกระดาษมีกระดาษแปะไว้ว่า ‘พัง’
“นี่แกโดนไอ้นี่เข้าไปจนหัวแตกเลยเหรอ” วิทยาถาม ใบหน้าคมหันมามองคนหัวแตกด้วยความสงสัย
“เออซิ” ถามมาได้ กล่องบ้าอะไรแข็งชะมัด
วิทยามองหน้าภูมิด้วยสีหน้าอึ้งๆก่อนจะพูดว่า
“กล่องเปล่า เนี่ยนะ”
“หา?” คนหัวแตกมองหน้านายแว่นราวจะกินเลือดกินเนื้อ
“นี่แกเอาสมองส่วนไหนคิดเนี่ย ฉันต้องโดนกล่องตอนที่มันยังมีของอยู่ซิเฟ้ย”
“เออ มันก็จริง” วิทยาพูดก่อนขยับแว่นมองหาของในกล่อง ดวงเนตรสีดำสอดส่องไปทั่วก่อนจะพบของอย่างว่า รูปร่างเป็นกล่องสี่เหลี่ยมสีดำ มีเข็มติดอยู่ที่ปลาย ในสายตาของวิทยา ไม่ว่ามองยังไงมันก็คือเครื่องเคาะสัญญาณเวลานี่หว่า
“ฉันจะพังมันทิ้ง!” ภูมิโมโหสุดๆที่หัวตัวเองต้องแตกเพราะไอ้เครื่องนี้
“เฮ้ย! อย่านะเฟ้ย ไปห้องพยาบาลไป” ออกปากตะโกนไล่ ทั้งที่คนตรงหน้าหัวแตกเพราะตนแท้ๆ
“ไปก็ไป” นายภูมิพูด ก่อนจะพยายามยันกายขึ้นจากกองเศษไม้ สายตาเหลือบไปเห็นกระดาษใบหนึ่ง “อะไรเนี่ย”
“ดาก คอนติเนนท์” ภาษาอังกฤษห่วยๆถูกส่งผ่านลำคอคนเจ็บ ทำให้นายวิทยาต้องหันกลับไปคว้าเศษกระดาษมาดู
“Dark Continent แค่คำง่ายๆแค่นี้อ่านไม่ออก”
“แล้วมันแปลว่าไรอ่ะ” คนถามยิ้มเหลอหลา เกาหัวแกรกๆ
“กาฬทวีปไง ในชั่วโมงสังคมก็เรียนแล้วไม่ใช่เหรอ” พูดไปพลางทำท่าเอือมๆ “แล้วแกไม่ไปห้องพยาบาลเหรอ?”
“เออใช่ ลืมไปเลย” นายภูมิพูด ทำหน้าแหยๆ วิทยาเห็นสภาพเพื่อนตัวเองแล้วก็ส่ายหัวเอือม ก่อนมือจะยื่นไปเก็บเครื่องเคาะสัญญาณเวลาใส่กล่องเพื่อเอาไปคืนห้องวิทยาศาสตร์